หลานคนคงเห็นคำ PPI (Pixel Per Inch) ในสเปคของมือถือแต่ละรุ่น และอาจยังสับสนว่า PPI (Pixel Per Inch) คืออะไร หมายความว่าอย่างไร
PPI (Pixel Per Inch)
PPI (Pixel Per Inch) คือ ในพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว (1 นิ้ว x 1 นิ้ว) จะมี pixel เรียงกันกี่อัน ยกตัวอย่าง
ตัวอย่างดังรูปที่ 1
– รูปที่ 1 ซ้าย จะเห็นได้ว่าพื้นที่ขนาด 1 ตารางนิ้ว มี pixel เรียงกันได้ 10 ช่อง ดังนั้น PPI = 10
– รูปที่ 1 ขวา จะเห็นได้ว่าพื้นที่ขนาด 1 ตารางนิ้ว มี pixel เรียงกันได้ 20 ช่อง ดังนั้น PPI = 20
วิธีคำนวนค่า PPI ของหน้าจอมือถือแต่ละรุ่น
สูตร:
PPI = (√(ความกว้าง2+ความยาว2) )/ขนาดหน้าจอ (นิ้ว)
ตัวอย่างคำนวน iphone 6
– กว้าง 750 pixel
– ยาว 1334 pixel
– ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว
ดังนั้น PPI = (√(7502+13342) )/ 4.7 = 326 ppi
นั้นหมายความว่าบนหน้าจอ iphone 6 พื้นที่ 1 ตารางนิ้ว จะมี pixel เรียงกัน 326 ตัว
ยิ่ง PPI (Pixel Per Inch) เยอะหน้าจอยิ่งชัดใช่ใหม
คำตอบคือใช่ ยิ่ง PPI เยอะ ภาพก็ยิ่งคมชัดขึ้น
ตามทฤษฎีของ SteveJob กล่าวว่า สายตาของมนุษย์สามารถมองเห็นความแตกต่างของ PPI ได้สูงสุดแค่ 326 PPI เท่านั้น (เขาจึงตั้งชื่อหน้าจอที่มีขนาน 326 ว่า
แต่ก็มีก็มีค่ายมือถือหลายค่ายออกมาแยงทฤษฎีของ SteveJob โดยออกมือถือที่มี PPI มากกว่า 326 แล้วประกาศว่ามีศักยภาพมากกว่า (Note 4, PPI=515) (HTC One M8, PPI= 441) และมีนักวิเคาะห์พยายามนำมือถือมาแทบกันดูแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ดังนั้นการเลือกซื้อสมาร์ทโฟน ความสวย สว่างของหน้าจอไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่า PPI เพียงอย่างเดียวควรดูชนิดของหน้าจอด้วย มันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องความสว่างจอ โทนสีของจอ ชนิดจอ IPS VS Super AMOLED
