คำแนะนำ!!! วิธีตรวจสอบและแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่ใน iPhone หมดเร็ว

0
450

เห็นผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่มักจะบ่นกันถึงเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดไวเกิ๊น!!!! โดยที่ผ่านมาก็มีคำแนะนำจากหลายๆแหล่ง ในบางครั้งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่วันนี้มีอดีตพนักงานของ Apple ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอีกด้วย ตามไปดูกันเลยค่ะ

169122

โดยผู้เขียนบทความนี้คือ Scotty Loveless อดีตพนักงาน Genius Bar ใน Apple Store ที่ทำงานที่นั่นมา 2 ปี งานหลักเขาคือแก้ปัญหาการใช้งานสินค้าแอปเปิลให้กับลูกค้า เขาบอกว่าปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เป็นโจทย์ที่หาข้อสรุปได้ยากมากปัญหาหนึ่ง

Scotty บอกว่าเขาอยากท้าทายความเชื่อผู้ใช้ iPhone ก่อนว่าการอัพเดต iOS เป็นเวอร์ชันใหม่ขึ้นไม่ใช่สาเหตุหลักของแบตเตอรี่หมดเร็ว เพราะคนเชื่อแบบนี้กันเยอะ แต่การตั้งค่าและการทำงานของบรรดาแอพทั้งหลายต่างหากที่เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เป้าหมายบทความนี้คือการแก้ปัญหาแบตเตอรี่ให้ผู้ใช้งานในระดับตรวจสอบได้เอง และยังสามารถใช้ฟีเจอร์ iOS ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ใช่เอะอะบอกปิดนั่นปิดนี่

169123

เริ่มต้น: ทดสอบแบตเตอรี่ว่ามีปัญหาหรือไม่

ก่อนจะพูดถึงปัญหาซอฟต์แวร์ เราสามารถทดสอบเบื้องต้นได้ว่าตัวแบตเตอรี่เราเองมีปัญหาหรือไม่ โดยทำดังนี้

[gdl_icon type=”icon-ok-sign” color=”#00D86B” size=”18px”] ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Usage (การใช้งาน) แล้วเลื่อนมาดูเวลาด้านล่างสุด
[gdl_icon type=”icon-ok-sign” color=”#00D86B” size=”18px”] จดเวลา Usage (การใช้งาน) และ Standby (เวลาเปิดเครื่องรอใช้งาน) เอาไว้
[gdl_icon type=”icon-ok-sign” color=”#00D86B” size=”18px”] กดปุ่ม Sleep/Wake (ปุ่ม Lock เครื่อง) แล้วปล่อยเครื่องไว้ประมาณ 5 นาที
[gdl_icon type=”icon-ok-sign” color=”#00D86B” size=”18px”] กลับมาดูเวลาใน Usage อีกครั้ง ในสถานการณ์ปกติ เวลา Standby ควรเพิ่มขึ้น 5 นาทีและ Usage ควรเพิ่มขึ้นประมาณ 1 นาที ถ้าหาก Usage เพิ่มมากกว่านี้แสดงว่าแบตเตอรี่อาจมีปัญหาในตัวมันเอง

169124

กรณีทดลองแล้วพบว่าแบตเตอรี่มีปัญหาจริง ก็เชิญเข้าศูนย์เพื่อทำการตรวจสอบละเอียดต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่ นั่นคือปัญหาอื่นซึ่งเราจะพูดถึงต่อไป

[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 1: ปิด Location และ Background App Refresh เฉพาะแอพ Facebook!

คำแนะนำในการประหยัดแบตเตอรี่ที่หลายคนชอบแนะนำ คือถ้าไม่จำเป็นก็ปิดการใช้ Location และ Background App Refresh เสีย แต่ Scotty บอกว่าอย่าไปปิดมันแบบเหมารวม เสียดายของดีที่ iOS 7 มีอยู่ เขาแนะนำให้ปิดเฉพาะ Facebook เน้นๆ แอพเดียว เพราะจากการแก้ปัญหาให้ลูกค้าพบว่าปิดที่ Facebook แอพเดียวก็ช่วยให้แบตเตอรี่ดีขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ

สามารถปิด Background App Refresh ได้โดยไปที่ Settings > General > Background App Refresh (ดึงข้อมูลใหม่ของแอปฯ อยู่เบื้องหลัง) แล้วเลือกปิดที่แอพ Facebook

[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 2: ปิด Background App Refresh แอพที่คิดว่าไม่จำเป็น

อย่างที่บอกว่าคำแนะนำนี้มีเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ยังได้ฟีเจอร์ใน iOS 7.1 มากที่สุด ฉะนั้นจะไม่สรุปให้ปิดโน่นนี่แบบเหมารวม แต่ Background App Refresh ก็เป็นฟีเจอร์ที่กินทรัพยากรจริง ฉะนั้นหากประเมินว่าแอพไหนที่ไม่จำเป็นก็ขอให้เลือกปิดเป็นรายแอพไปเสีย

169125

[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 3: เลิกปิดแอพ Multitasking

ในขณะที่หลายคนเข้าใจว่าการปิดแอพให้หมดเป็นการประหยัดแบต (โดยกดปุ่ม Home 2 ครั้งแล้วไล่ปิดทีละแอพ) แต่ Scotty บอกว่าเมื่อเราปิดแอพใน Multitasking มันคือการเอาแอพออกจาก RAM ของ iPhone และเมื่อเราเปิดแอพอีกครั้งก็คือการนำแอพใส่กลับใน RAM ซึ่งขั้นตอนที่กินทรัพยากรมากคือการเปิดปิดแอพนี้ จึงควรหลีกเลี่ยงการปิดๆ เปิดๆ เพื่อประหยัดแบตเตอรี่
ใน iOS 7 แอพที่แสดงใน Multitasking นั้นไม่มีการทำงานใดๆ อยู่เบื้องหลัง มันจึงไม่มีการใช้ทรัพยากรแบบที่เราเคยเข้าใจ เว้นแต่เราไปเปิด Background App Refresh ให้มันนั่นก็อีกกรณีหนึ่ง ฉะนั้นในภาพรวมแล้วการไม่ปิดๆ เปิดๆ แอพ Multitasking จึงช่วยประหยัดแบตฯ ได้ดีกว่า

169126

ใน 3 ขั้นตอนนี้แบตเตอรี่ของผู้ใช้ iPhone ควรจะได้ดีขึ้นมาพอสมควร แต่หากยังไม่ดีขึ้น เหล่านี้คือขั้นตอนต่อมาในการทดลองดูว่าช่วยได้หรือไม่ครับ

[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 4: ปิดการ Push เตือนอีเมล แล้วเปลี่ยนมาใช้ Fetch เพื่อดูว่าแบตเตอรี่ดีขึ้นหรือไม่ หากไม่มีผลก็ใช้ Push ต่อไป
[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 5: ปิด Push Notifications สำหรับแอพที่มีการแจ้งเตือนถี่มากเกินไป โดยเฉพาะบรรดาแอพเกม
[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 6: ปิดการแสดงตัวเลขเปอร์เซนต์แบตเตอรี่ (Settings > General > Usage)
[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 7: ขอทำการทดสอบแบตเตอรี่ที่ Apple Store (ข้อนี้คนไทยข้ามไป)
[gdl_icon type=”icon-check” color=”#0080FF” size=”18px”] ขั้นที่ 8: เปิด Airplane Mode เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีสัญญาณมือถือต่ำมาก อย่างไรก็ตามวิธีนี้ทำให้เราไม่สามารถรับสายโทรเข้า+SMS ได้
หวังว่าขั้นตอนดังกล่าวมานี้ จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ง iPhone และมีอายุแบตเตอรี่ในการใช้งานที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย วิธีการนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้กับ iPod Touch และ iPad ได้เช่นกัน

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : macthai.com